Active Learning เป็นคำที่เราได้ยินและคุ้นหูกันมานาน ครูหลายคนจัดการเรียนการสอนในรูปแบบนี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะหลังเกิดโรคระบาดที่เด็กทั่วโลกต้องหันมาเรียนออนไลน์ เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้เราเห็นได้ชัดเจนขึ้นว่า การเรียนรู้ด้วยวิธีเดิม ๆ อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด Active Learning จึงกลายเป็นการเรียนรู้ที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายอีกครั้ง
ทำไมต้อง Active Learning
งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันถึงประโยชน์ของ Active Learning ว่า มีมากกว่าการเรียนการสอนแบบเดิม เด็กเรียนรู้ได้มากขึ้นอย่างชัดเจน เคยมีการทดลองชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science ปี 2011 ที่ให้นักเรียนเรียนวิชาฟิสิกส์เบื้องต้น 2 แบบ แบบแรก คือ ฟังแล้วจดเล็กเชอร์ทั่วไป กับแบบที่สอง คือ Active Learning ชั้นเรียนนี้จะเรียนกัน 15 สัปดาห์ โดยที่ 11 สัปดาห์แรก นักเรียนจะได้เรียนกับผู้สอนที่มีประสบการณ์ โดยใช้การสอนแบบมาตรฐาน แต่เมื่อถึงสัปดาห์ที่ 12 จะมีการสุ่มเลือกนักเรียนครึ่งหนึ่งให้เรียนแบบ Active Learning ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งจะเรียนรู้แบบฟังบรรยาย ต่อมาก็จะให้ทั้งสองกลุ่มกลับกัน โดยที่สองกลุ่มนี้จะเรียนรู้เนื้อหาเดียวกัน จากนั้น นักเรียนแต่ละกลุ่มจะได้รับการสำรวจว่า นักเรียนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับข้อความเหล่านี้ เช่น "ฉันรู้สึกว่าฉันได้เรียนรู้มากจากการบรรยายนี้" และ "ฉันหวังว่า ทุกชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ของฉันจะได้รับการสอนด้วยวิธีนี้" นอกจากนี้ นักเรียนยังได้รับการทดสอบว่า ได้เรียนรู้อะไรบ้างในชั้นเรียนด้วยคำถามแบบปรนัย 12 ข้อ และนี่คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
จากกราฟนี้เราพบว่า "นักเรียนคิดว่าตัวเองได้เรียนรู้มากขึ้นจากเรียนแบบบรรยาย ทั้ง ๆ ที่นักเรียนทำคะแนนสอบได้ดีกว่าจากการเรียนรู้แบบ Active Learning นักวิจัยกล่าวว่า บ่อยครั้งที่นักเรียนดูเหมือนจะชอบการเรียนรู้แบบบรรยายที่ดูเรียบ ๆ ฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่า การรับรู้ของนักเรียนในเรื่องการเรียนรู้ของตัวเองนั้นไม่ตรงกับระดับการเรียนรู้จริง ๆ ของพวกเขา" นี่จึงเป็นคำถามที่สำคัญ เพราะแม้นักเรียนจะรู้สึกว่าการเรียนแบบ Active Learning เป็นเรื่องลำบากในตอนแรก แต่สุดท้ายแล้ว นักเรียนก็จะเห็นประโยชน์ของมันในที่สุด เมื่อมีงานวิจัยรองรับถึงการเรียนรู้ที่มากขึ้นของนักเรียนเมื่อได้เรียนแบบ Active Learning แล้ว ประเด็นต่อมา คือ การจะเริ่มต้นจัดการเรียนรู้แบบนี้สามารถเริ่มจากตรงไหนได้บ้าง กลยุทธ์ของ Active Learning คืออะไร เราจะใช้รูปแบบ และเทคนิคการสอนอะไรได้บ้าง
ตัวอย่างรูปแบบการสอนแบบ Active Learning
1. 5Es (Engage – Evaluate – Explore – Extend – Explain)
2. การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน (Phenomenon Based Learning: PheBL)
เริ่มใช้ครั้งแรกที่ฟินแลนด์ในปี 2016 โดยมีที่มาจากหลักสูตรแกนกลางแห่งชาติ ปี 2014 ลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนรู้แบบ PheBL คือ
บทบาทครูจะเปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็นผู้ให้ความรู้กลายเป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ ผู้ให้คำแนะนำ และช่วยเหลือให้นักเรียนสามารถสืบเสาะ ค้นหา และสร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเอง
3. การใช้กรณีศึกษา (Case study method)
เป็นวิธีสอนที่ใช้กรณี หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงมาดัดแปลงให้นักเรียนได้ศึกษา วิเคราะห์ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง นักเรียนได้รู้จักวิธีคิด วิธีนำข้อมูลต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณาในการตัดสินกรณีศึกษา
บทบาทผู้สอน มีดังนี้
4. การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning: PrBL)
การจัดการเรียนรู้รูปแบบนี้สามารถตั้งต้นได้จากปัญหา สถานการณ์ คำถาม เงื่อนไขหรือข้อจำกัด ความต้องการต่าง ๆ แล้วสร้างเป็นนวัตกรรม หรือชิ้นงาน เพื่อแก้ปัญหา หรือตอบคำถามในเรื่องนั้น ๆ
หลักการสำคัญของ PrBL
5. การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning: PBL)
เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มีจุดเริ่มต้นจากปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว โดยมีเป้าหมายที่จะแก้ปัญหานั้นให้ได้
ลักษณะของปัญหาที่นำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้
6. การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน (Game Based Learning: GBL)
การจัดการเรียนรู้ที่ใช้แนวคิดของการเล่นเกม เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่เฉพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ทักษะ หรือทัศนคติ รูปแบบของเกมจะเป็นแบบใดก็ได้ระหว่างบอร์ดเกม เกมในชีวิตจริง หรือเกมดิจิทัล ครูที่จะนำ GBL มาใช้ ควรเลือกเกมที่ผ่านการออกแบบมาอย่างมีประสิทธิภาพ คือ
เทคนิคน่าสนใจสำหรับ Active Learning
การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning นอกจากจะมีรูปแบบที่หลากหลายแล้ว ยังมีเทคนิคอีกมากมายที่ครูสามารถหยิบจับมาผสมผสานเข้ากับการจัดการเรียนรู้ได้ โดยอาจพิจารณาจากลักษณะกิจกรรมว่า สำหรับนักเรียนกลุ่มไหน กลุ่มใหญ่ กลุ่มเล็ก หรือคนเดียว เช่น
กิจกรรมกลุ่มใหญ่
กิจกรรมกลุ่มเล็ก
กิจกรรมเดี่ยว
กิจกรรมที่ใช้ได้ทั้ง 3 กลุ่ม
จาก Passive Learning ที่เคยใช้กันมา ครูสามารถเปลี่ยนให้เป็น Active Learning ได้ไม่ยากด้วยการทดลองนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเนื้อหาที่จะสอนมาใช้ แล้วเลือกเทคนิคการจัดกิจกรรมมาผสมผสาน เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่นักเรียนได้เป็นฝ่ายคิด และลงมือทำมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลจาก